แบบทดสอบก่อนเรียน
http://goo.gl/forms/14Qx5gNtJM
การหายใจ (Respiration) ถือเป็นปนึ่งในกระบวนการรักษาความสมดุลของระบบในร่างกาย (Homeostasis) อาศัยระบบไหลเวียนโลหิตเป็นตัวกลางในการลำเลียงก๊าซ การกายใจออกเป็น 2 ระดับ ดังนี้
1. การหายใจภายใน (Intermal Respiration) หรือการหายใจระดับเซลล์ (Cellular Respiration) เป็นกระบวนการแคแทบอลิซึมอย่างหนึ่ง คือ สลายสารโมเลกุลใหญ่เป็นโมเลกุลเล็กและให้พลังงาน
2. การกายใจภายนอก (External Respiration) เป็นการเเลกเปลี่ยนก๊าซของสิ่งมีชีวิต โดยต้องอาศัยโครงสร้างของร่างกายที่ต้องมีคุณสมบัติที่สำคัญเพื่อช่วยในการเเลกเปลี่ยนก๊าซ คือ มีพื้นที่ผิวมาก ผนังบางเพียงพอ และต้องมีความชื้นเพื่อให้ก๊าซละลายน้ำได้ โดยทำงานกันอย่างเป็นระบบ เรียกว่า ระบบหายใจ (Respiratory System)
การหายใจของสิ่งมีชีวิตอื่นที่ไม่ใช่มนุษย์
เยื่อกุ้มเซลล์ (Cell membrane) : อะมีบา พารามีเซียม ยูกลีนา
ผิวร่างกาย (Body Surface) : สัตว์ชั้นต่ำ ฟองน้ำ ไฮดรา หนอนตัวแบน
ผิวหนัง (Skin) : ไส้เดือนดิน สัตว์ครึ่งบกครึ่งน้ำ
ระบบท่อลม (Tracheae System) : แมลงต่างๆ เหา มด ตะขาบ ตะเข็บ กิ้งกือ
เหงือก (Gill) : สัตว์น้ำ ปลา และ กุ้ง ปู
แผงเหงือก (Book Gill) : แมงดาทะเล
แผงปอด (Book Lung) : แมงมุม แมงป่อง
Respiratory tree : ดาวทะเล ปลิงทะเล
ปอด (Lung) : ทาก หอยทาก นก คน
การหายใจของมนุษย์
1. องค์ประกอบทางเดินหายใจ ดังนี้
1) รูจมูก (Nostrill) เป็นทางผ่านเข้าของอากาศ
2) โพรงจมูก (Nasal cavity) มีเยื่อบุผิวที่มีซิเลียและเมือก สำหรับดักจับสิ่งแปลกปลอมไม่ให้ผ่านลงปอด
3) คอหอย (Pharynx) บริเวณที่พบกันของช่องอากาศจากจมูก ช่องอาหารจากปาก กล่องเสียงจากหลอดลมคอ
4) หลอดลม (Trachea) เป็นหลอกยาวตรว มีกระดูกอ่อนเรียงเป็นรูปเกือกม้าติดอยู่เพื่อป้องกันการยุบตัวของหลอดลม
5) ขั้วปอด (Bronchus) เป็นส่วนของหลอดลมที่แยกออกเป็นกิ่ง ซ้ายและขวาเข้าสู่ปอด
6) แขนงขั้วปอด/หลอดลมฝอย (Bronchiole) เป็นแขนงของท่อลมที่แยกออกไปมากมายและแทรกอยู่ทั่วไปในเนื้อปอด และจะไปสิ้นสุดที่ถุงลม (Alveolus)
7) ถุงลมเล็กๆในปอด (Alveoli) ที่ผนังของถุงลมจะมีเส้นเลือดฝอยล้อมรอบอยู่มากมาย จึงเป็นแหล่งในการแลกเปลี่ยนก๊าซ ภายในปอดของคนมีอัลวิโอลัส (Alveolus) ซึ่งเป็นถุงลมเล็กๆ ประมาณ 300 ล้านถุง
2. กลไกการลำเลียงก๊าซ มีก๊าซ 2 ชนิด คือ ก๊าซ O2 ลำเลียงเข้า และ CO2 ลำเลียงออก
1. การลำเลียงก๊าซออกซิเจน เมื่อก๊าซ O2 ถูกลำเลียงมาที่ถุงลมปอดจะรวมตัวกับฮีโมโกลบิน (Hemoglobin/Hb) ที่ผิวเม็ดเลือดแดง เปลี่ยนเป็นออกซีฮีโมโกลบิน (Oxyhemoglobin/HbO2) ส่งไปยังหัวใจและสูบฉีดไปยังส่วนต่างๆของร่างกาย
2. การลำเลียงคร์บอนไดออกไซด์ ก๊าซ CO2 จะตามจับ Hb ได้น้อยมาก ส่วนใหญ่จะละลายน้ำในพลาสมา ทำให้เกิดกรดคาร์บอนิกซึ่งแตกตัวเป็นไอออนได้
หากกลั้นหายใจ CO2 จะถูกขับได้นัอยลง ทำให้เกิด H2CO3 เลือดจึงเป็นกรดมากขึ้น ทำให้ค่า pH ลดลง ซึ่งโดยปกติเลือดจะมีค่า pH เท่ากับ 7.4
3. รงควัตถุที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ (Respiratory Pigment)
1. ฮีโมโกลบิน (Hemoglobin/Hb) เป็นโปรตีนที่ประกอบด้วย 4หน่วยย่อย โดนฮีโมโกลบินมีความสามารถในการจับกับโมเลกุลต่างๆได้ เรียงลำดับจากมากไปน้อย ได้ดังนี้
– รวมตัวกับ CO ได้เร็วมาก ดีกว่า O2 ได้มากกว่า 200 เท่า เนื่องจาก CO สามารถแพร่ผ่าน Alveolar Capillary Membrane) ด้อย่างรวดเร็ว ดังนั้น หากร่างกายอยู่ในสภาวะที่มี CO มากกว่า C2 มาก จะทำให้ร่างกายได้รับ CO มากเกินพอ และขาด C2 ได้เป็นผลให้เกิดอันตราย และอาจรุนแรงถึงแก่ชีวิตได้
– รวมตัวกับ O2 ได้โดย Fe ในฮีมจะเป็นตัวจับกลายเป็นออกซีฮีโมโกลบิน (Oxy-Hemoglobin)
– รวมตัวกับ CO2 ถึงแม้จะจับกันได้น้อยมาก แต่สามารถจับกันกลายเป็น Carbaminohemoglobin (HbCO2)
2. ไมโอโกลบิน (Myoglobin/Mb) เป็นโปรตีนรูปทรงกลมที่มีโครงสร้างคล้ายกับ Hemoglobin แต่กล้ามเนื้อที่มี Mb มาก จะมีสีแดงโดย Mb มีความสามารถในการจับ O2 ได้สูงกว่า Hb ทำให้ O2 จาก Hb ในเลือด เคลื่อนที่เข้าสู่ Mb ในกล้ามเนื้อ
4. กลไกลการหายใจเข้า-ออก
– การหายใจเข้า : นำ O2 เข้าสู่ถุงลมปอด ความดันช่องอกลดลง ปริมาตรช่องออกเพิ่มขึ้น กระบังลมลดตัวลงด้านล่าง กระดูกซี่โครงยกขึ้น กล้ามเนื้อกระบังลมหดตัวกล้ามเนื้อซี่โครงแถบนอกหดตัว แถบในคลายตัว กล้ามเนื้อหน้าท้องคลายตัวท้องขยาย
– การหายใจออก : นำ CO2 ออกจากร่างกาย ความดันช่องอกเพิ่มขึ้น ปริมาตรช่องอกลดลง กระบังลมยกตัวขึ้นด้านบน กระดูกซี่โครงเลื่อนลง กล้ามเนื้อกระบังลมคลายตัว กล้ามเนื้อยึดซี่โครงแถบนอกคลายตัว แถบหดตัว กล้ามเนื้อหน้าท้องหดตัวท้องยุบ
5. การควบคุมการหายใจ มี 2 แบบ ดังนี้
1. การควบคุมแบบอัตโนวัติ อยู่ภายนอกอำนาจจิตใจ บังคับไม่ได้ ใช้สมองส่วนเมดุลลาออบลองกาตาและพอนส์
2. การควบคุมภายใจอำนาจจิตใจ โดยใช้ซีรีเบลลัม ซีรีบัลคอร์เทกซ์ และไฮโพทาลามัส
6. อาการที่เกี่ยวข้องกับการหายใจ
1. การจาม : เกิดจากการหายใจเอาอากาศที่ไม่สะอาดเข้าไปในร่างกาย ร่างกายจึงพยายามขับสิ่งแปลกปลอมเหล่านั้นออกมานอกร่างกาย
2. การหาว : เกิดจากการที่มีปริมาณ CO2 สะสมอยู่ในเลือดมากเกินไป จึงต้องขับออกจากร่างกาย โดยการหายใจเข้ายาวและลึก เพื่อรับ O2 เข้าไปที่ปอด เพื่อแลกเปลี่ยน CO2 ให้ออกจากเลือด
3. การสะอึก : เกิดจากกระบังลมหดตัวเป็นจังหวะๆ ขณะหดตัวอากาศจะถูกดันผ่านลงสู่ปอดทันที ทำให้สายเส้นเสียงสั่น จึงเกิดเสียงขึ้น
4. การไอ : เป็นการหายใจอย่างรุนแรงเพิ่อป้องกันไม่ให้สิ่งแปลกปลอมหลุดเข้าไปในกล่องเสียงและหลอดลม
7. โรคเกี่ยวกับทางเดินหายใจ
1.โรคถุงลมโป่งพอง (Emphysema) โดยสาเหตุสำคัญของโรคถุงลมโป่งพอง จากการสูบบุหรี่อย่างต่อเนื่องหรือได้รับสารมลพิษในควันบุหรี่ ควันจากท่อไอเสียรถยนต์ ติดต่อกันเป็นเวลานาน ทำให้เกิดการระคายเคืองต่อหลอดลมและทำลายผนังถุงลม เนื้อเยื่อซึ่งโยงยึดหลอดลมและถุงลมจึงเสื่อมลง หลอดลมเล็กๆขาดการยึดโยงจึงแฟบตัวได้ง่าย เกิดการอุดกั้นของอากาศที่ผ่านหลอดลม ทำให้มีลมค้างอยู่ในถุงลมมากขึ้น หรือเรียกกันคุ้นๆหูว่า “ถุงลมโป่งพอง”
2. โรคปอดบวม (Pneumonia) เป็นภาวะที่ปอดเกิดการอักเสบ ซึ่งอาจเป็นเชื้อแบคทีเรีย เชื้อไวรัส เมื่อเป็นปอดบวม จะมีหนอง และสารน้ำอย่างอื่นในถุงลม ทำให้ร่างกายไม่สามารถรับก๊าซ O2 ทำให้ร่างกายขาดก๊าซ O2 และอาจถึงแก่ชีวิต
3. โรคภูมิแพ้จมูก/อากาศ (Allergic Rhinitis) มีปฎิกิริยาตอบสนองไวเกินต่อสารก่อภูมิแพ้ เมื่อสารก่อภูมิเเพ้เข้าสู่ร่างกาย ร่างกายจะส่งแอนติบอดีไปทำปฎิกิริยากับสารก่อภูมิแพ้ที่หายใจเข้าไป เป็นผลทำให้เซลล์บางชนิดภายในจมูก มีการแตกตัวกลั่งสารเคมีออกมาทำให้เกิดการอักเสบ และมีอาการต่างๆของโรคตามมา
แบบทดสอบหลังเรียน
http://goo.gl/forms/iIeJ3QZwgL